เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๒ ต.ค. ๒๕๔๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๔๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ดูอย่างไส้เดือน เวลาหน้าหนาวไส้เดือนมันขึ้นมาตาย มันจะขึ้นมาของมันแล้วมันก็ตายของมันไป มันธรรมชาติของมัน มันขึ้นมาของมัน มันว่าของมันถูกต้องในสัญชาตญาณ ไอ้สัญชาตญาณของเราก็เหมือนกัน สัญชาตญาณส่วนหนึ่ง แต่การศึกษา การเกิดเป็นมนุษย์นี่มีสมอง แล้วมนุษย์นี่พยายามจะเอาชนะธรรมชาติ การปกครองการต่าง ๆ นี่ด้วยเรื่องของมนุษย์

มนุษย์มีการศึกษามา มีความจำมา ใครศึกษาเล่าเรียนขนาดไหนมามันก็ความจำของเรา วิชาการอันนั้น มันก็เป็นแขนง ๆ ไป มันเป็นจุดหนึ่ง ๆ ของความคิดเท่านั้นเอง มันเป็นจุดหนึ่งของความรู้ของเราแล้วเราก็รู้อย่างนั้น ไม่มีใครเลยที่จะสามารถเก่งไปหมดทุก ๆ อย่าง ดูอย่างหมอ เห็นไหม หมอยังมีหมอเฉพาะทาง หมอเรียนมาแล้วก็ต้องเรียนเฉพาะทาง แล้วเก่งกันไปเฉพาะทาง แม้แต่หมอด้วยกันเองยังว่า “บางอย่างผมไม่รู้ บางอย่างผมทำไม่ได้ บางอย่างต้องให้คนเก่งเฉพาะทางทำไป” แม้แต่เรื่องวงการแพทย์อย่างเดียวยังเก่งเฉพาะทางเลย

แล้วเรื่องการศึกษาของเรา ความรอบรู้ของเรา แล้วเราตีค่าตามมุมมองของเรา เห็นไหม เรานั่งอยู่ในศาลาอย่างนี้ เอาสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาวางไว้นี่ ต่างคนต่างมุมมองจะมองเห็นว่า อันนี้มันต่างกัน ความคิดเห็นต่างกัน ความเห็นต่างกัน ตรงนี้มันแบบว่ามันหมุนออกไปไง มันเป็นเรื่องของโลก มันเป็นเรื่องของความไม่สามารถที่จะเอามาชนะเหนือตนได้

ถ้าสิ่งนี้เป็นฟืนเป็นไฟ เป็นฟืนเป็นไฟหมายถึงว่ามันเติมความคิดไป มันจะเติมฟืนของเราขึ้นไป ความคิดของเรานี่ทางวิชาการมันจะตีค่าไป แล้วตีค่าตามความเห็นของเราไป เวลาประชุมกันมันถึงมีปัญหาไง ถ้ามีปัญหานี่มุมมองของแต่ละบุคคลมันเป็นความเห็นแล้วมันผูกพันไปว่าตัวเองถูกต้อง ความเห็นของตัวเองดี ความเห็นของตัวเองถูกต้อง เพราะความรู้ของเรามันก็ยึด กิเลสมันยึดยึดตรงนี้ ยึดตรงความเห็นของเรา แล้วความเห็นของเรามันจะให้โทษให้ผลกับเราขนาดไหน มันถึงว่าสิ่งนี้มันไม่สามารถชำระกิเลสได้ มันเป็นวิชาชีพ มันเป็นความเห็นของเรา

แต่ไส้เดือนของมัน มันเป็นสัญชาตญาณ สิ่งที่สัญชาตญาณนี้ไม่ใช่ความศึกษาเป็นแขนงขึ้นมา เป็นสัญชาตญาณ เป็นความปกป้องคลุมกับหัวใจเลย หัวใจกับสัญชาตญาณมันแสดงออกขึ้นมา มันแสดงออกโดยสัญชาตญาณ มันไม่มีสมอง มันไม่มีความคิด มันเป็นสัญชาตญาณ อันนี้มันเป็นกรรม กรรมของเรา กรรมของการเกิดในสัตว์โลก สัตว์โลกเกิดในวัฏฏะนี่ กรรมของใครกรรมของเขา

เกิดเป็นสุนัข เห็นไหม ความเห็นของสุนัขมันก็ประจบเจ้านายมีความซื่อสัตย์ ความซื่อสัตย์ของสุนัขเท่านั้นเป็นความน่ารักของมัน ความน่ารักของมันคือความซื่อสัตย์ มันกตัญญูแต่เจ้าของของมัน นั้นเป็นความดีงามของมัน แล้วความสุขของมันถ้ามันพอใจของมัน มันความสุขมันเจอเจ้านายของมัน มันเจอสิ่งที่มันรักสิ่งที่มันกตัญญู มันจะมีความสุขของมันมาก มันจะกระดิกหางของมัน มันจะมีความพอใจของมัน

นั้นเป็นความสุขของเขา นั้นเป็นเพราะกรรมให้เขาเกิดมาสภาวะอย่างนั้น เขาถึงต้องเป็นสภาวะอย่างนั้น ทำความดีของเขาก็ได้ ถ้าเขาเป็นสัตว์ดี เขาเป็นหัวหน้าฝูงนะ เขาจะพาลูกน้องเขาไปทำคุณงามความดี คุณงามความดีของเขาก็ซื่อสัตย์กตัญญูกับเจ้านาย แล้วปกป้องเจ้านาย แล้วทั้งชีวิตเขาก็มอบให้ได้ นั้นเวลาเขาเกิดในสถานะของเขา

แต่คนมันมีความเห็น คนเรามีปัญญา มีสมอง สมองนี่เป็นการศึกษาไตร่ตรองใคร่ครวญ แล้วสมองนี่มันจะส่งต่อเข้าไปเป็นภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญาไม่ใช่เกิดจากสมอง เกิดจากสมองนี่เกิดจากความแยกแยะของใจ ใจแยกแยะของมัน ลึกซึ้งกว่าในเรื่องของการใช้สมอง การใช้สมองนี่มันเป็นกรอบ แม้แต่เวลาภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมานี่ เวลามันคิดออกไปเป็นกิเลส

สิ่งที่เป็นกิเลสมันเป็นเรื่องของขันธ์ ขันธ์เป็นกรอบหนึ่งของความคิด แล้วสมองนี่ก็เป็นกรอบอีกชั้นหนึ่ง กรอบบีบให้เล็กลงไปอีก บีบให้ความเห็นของเราเล็กลงไปกว่าความกว้างขวางของสัญชาตญาณ สัญชาตญาณของเรามันเป็นสัญชาตญาณความรู้สึกออกมา สัญชาตญาณเกิดจากความเห็น เกิดจากความถูกต้องขึ้นมา

ถ้าสัญชาตญาณในการความผิดพลาด เห็นไหม สัญชาตญาณของโจร เวลาเขาหนีภัยนี่นะ ถ้ามีอะไรขึ้นมาเขาจะมีความตอบโต้ในการต่อสู้ ในการป้องกันภัยของเขา นั่นคือสัญชาตญาณของโจร สัญชาตญาณของบัณฑิต บัณฑิตสัญชาตญาณเกิดขึ้นมานี่มันเกิดจากปัญญาที่ว่าเกิดจากสมองขึ้นมาก่อน กรอบอันเล็ก ๆ นั่นน่ะส่งขึ้นมา แล้วจะเกิดส่งไปในขันธ์ ขันธ์คือความคิด ความจำได้หมายรู้ในสัญชาตญาณอันนั้น

สัญชาตญาณเกิดขึ้น เกิดจากขันธ์การระวังภัย แต่ภาวนามยปัญญานี่เกิดขึ้นลึกลงไป เพราะอะไร? เพราะมันเป็นธาตุรู้ สิ่งที่เป็นธาตุรู้ผ่านการกระทบ เวลาที่ว่าเกิดจากสัญชาตญาณของเรา เราเห็นภัยขึ้นมา ถ้าเราเห็นภัยเราจะตื่นภัย แล้วเราจะแก้ไขภัย แต่ภัยนั้นมีอยู่แต่เราไม่รู้เราไม่เห็น มันไม่เกิดแรงกระทบขึ้นมา ไม่เกิดความธาตุรู้กับขันธ์กระทบกัน ความรู้สึกเกิดขึ้นไม่ได้ สัญชาตญาณของมันก็ไม่มี สิ่งที่สัญชาตญาณของมันไม่มีเพราะมันไม่รู้สึกตัวของมัน

ความไม่รู้สึกตัวของมัน ถ้าเข้าไปถึงตรงนี้ ตรงที่ว่าขันธ์อันละเอียดขึ้นมานี่ แบบขันธ์จากภายในนี่มันจะเกิดเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาคือว่าเกิดจากการวิปัสสนา เกิดจากใคร่ครวญขึ้นมา ปัญญาอันนี้จะส่งต่อเข้าไป ส่งต่อเข้าไป หมุนเวียนกลับไป มันเป็นสิ่งที่มีอยู่แต่มันเป็นสิ่งที่ลึกลับ สิ่งที่ละเอียดอ่อน ที่ไม่มีใครสามารถจะจับต้องสิ่งนี้ได้ เพียงแต่เราที่ภาวนากันนี้ เราปฏิบัติกันนี้เพื่อจะให้เกิดสิ่งนี้ไง

เกิดสิ่งที่มันเป็นประโยชน์กับเรา เกิดจากความหมุนเวียนเข้ามาให้หมุนเข้าไปชำระกิเลส นั่นน่ะทวนกระแส เรื่องของธรรมะเป็นเรื่องของการทวนกระแส ทวนกระแสเข้าไปปลดเปลื้องความเคยใจ สิ่งที่เคยใจ เราอยู่เฉย ๆ ไม่มีความทุกข์นะ เรามีความสุขขึ้นมา เราอยู่ดีมีสุขขึ้นมา เราอยู่ดีมีสุขประสาโลกของเรา แต่มันก็ว้าเหว่ มันก็หงอยเหงา มันก็เศร้าซึมของมัน มันเผาของมันนะตัวนี้มันเป็นตัวอยู่ภายใน

สิ่งที่ภายในตัวนี้เป็นตัวกิเลส แล้วตัวที่เป็นกิเลสนี่เวลามันออกมากระทบกับขันธ์นี่มันก็ยึดความเห็นของเรา ยึดความรู้สึกของเรา อย่างที่ว่าการศึกษาเล่าเรียน การจำของเราขึ้นมา สิ่งนี้เกิดขึ้นมานี่มันพุ่งออกไปข้างนอก แล้วมันก็เวลาพุ่งออกไปมันพุ่งออกไปตามอำนาจกิเลส เพราะความว้าเหว่ ความภวาสวะ ภพอันเป็นสวะอวิชชานี่มันอยู่ที่ใจ สิ่งที่อยู่ที่ใจกระทบสิ่งใดนี่มันให้ค่าสิ่งนั้น ทั้ง ๆ ที่สิ่งนั้นเป็นประโยชน์นะ เขาจะให้ประโยชน์กับเรา เขาจะสั่งสอนเรา

อย่างเช่นครูบาอาจารย์ เวลาไปอยู่กับครูบาอาจารย์ หลวงปู่มั่นนี่ พระที่ไปลงใจกับหลวงปู่มั่นก็ว่าหลวงปู่มั่นเป็นครูบาอาจารย์ที่เยี่ยมยอดมาก รู้วาระจิต รู้ความคิดของเราเอง เราคิดเห็นไหม พ่อแม่ครูจารย์ พ่อแม่เราเลี้ยงเราได้แต่ร่างกาย แต่หลวงปู่มั่นนี่เลี้ยงทั้งร่างกาย พาอยู่พากิน เห็นไหม บิณฑบาตมา ยังเลี้ยงหัวใจด้วย นั่นน่ะเวลาคนที่ว่าไปสภาวะแบบนั้นลงใจขึ้นมาก็เป็นครูบาอาจารย์อย่างยอดเยี่ยมที่หาไม่ได้อีกในปัจจุบันนี้

แต่ผู้ที่มันเป็นกิเลสในหัวใจมันไม่ยอมรับ สิ่งที่ว่านั่นน่ะหาว่าครูบาอาจารย์นี้ดุด่าเกินไป พระกรรมฐานทำไมเป็นพระขี้ด่า เป็นพระที่ว่าเป็นขี้โมโหโทโส โมโหโทโสนั้นเป็นประโยชน์ไง เด็ก...เด็กจะทำความผิดนี่การจะสอนเขาต้องเตือนสติของเด็กนั้นให้ได้ เตือนสติของเด็กให้เข้าใจสิ่งที่ว่ามันจะความผิดพลาด

ถ้าความผิดพลาดพูดกันโอ้โลมปฏิโลมกันไป มันก็ไม่ฟัง มันเป็นอันตรายต่อการประพฤติปฏิบัติ บางอย่างนี่ต้องชี้ขาดไปว่ามันสิ่งนั้นเป็นผิด ต้องเตือน เตือนสิ่งนั้น นั่นน่ะเป็นผู้ใหญ่สอนเด็ก เป็นครูบาอาจารย์สอนเด็ก มันจะเป็นประโยชน์ทั้งหมด แต่ผู้ที่ยังมีกิเลสในหัวใจ มันก็พลิกแพลงไปเป็นโทษ เป็นสิ่งที่ว่ามันไม่พอใจ มันสิ่งที่ว่ามันไม่เห็นด้วย

นี่หาครูหาอาจารย์มันถึงต้องหาครูบาอาจารย์ตามจริตนิสัย ถ้าจริตนิสัยพอว่าควรเข้ากับครูบาอาจารย์องค์นั้นน่ะ มันจะเชื่อ กรรมสั่งสมกันมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม เห็นไหม แล้วเดินไปเจอโยม โยมถามว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียนมาจากใคร?” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ตรัสรู้ด้วยตัวเอง” เขาไม่เชื่อ เขาสั่นหัว เขาหนีไปเลย

แต่เราเชื่อในศรัทธา เราฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราอยากเห็นมาก ทุกคนอยากเห็นครูบาอาจารย์ อยากทันหลวงปู่มั่น อยากทันครูบาอาจารย์ เพราะว่ามันยึดอดีต อย่างอดีตที่ผ่านมานี่มันผ่านไปแล้ว มันเป็นสิ่งที่ว่าเราไม่สามารถจะยึดได้ แต่เราก็อยากจะเจอตรงนั้น เจอตรงนั้นเราก็เห็นแต่ภาพภายนอก

ผลไม้นี่ เนื้อของผลไม้มันอยู่ในเปลือกของผลไม้ เราจะไม่เห็นคุณงามความดีของครูบาอาจารย์นั้นหรอก แต่เราจะเห็นแต่เปลือก ถ้าเห็นแต่เปลือก เห็นหลวงปู่มั่นนี่ หลวงปู่มั่นเอ็ด หลวงปู่มั่นด่า เราก็ว่าหลวงปู่มั่นดุ หลวงปู่มั่นเป็นที่ว่ามันรับไม่ได้ มันไม่พอใจ แต่ถ้าเราเชื่อเราเห็นคุณประโยชน์ของมัน เราจะมองผ่านเปลือกเข้าไป จะเข้าไปถึงเนื้อของผลไม้ แล้วจะได้ผลอันผลไม้นั้น

นี่ใจมันเป็นอย่างนั้น มันเห็นความเกิดของใจ เห็นกิเลสในหัวใจ แล้วกิเลสนี้ดับไปในหัวใจนี่ มันจากใจดวงหนึ่ง มันส่งให้ใจดวงหนึ่ง มันถึงเข้าใจเรื่องของใจไง เข้าใจเรื่องของใจที่ผ่านขันธ์ ความผ่านขันธ์คือผ่านความคิด ผ่านความยึดมั่นถือมั่นแล้วมีความเห็นผิด ความเห็นของเราเห็นผิด เห็นผิดจากหลักความเป็นจริงว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งเครื่องอยู่อาศัย เป็นสิ่งชั่วคราว

เราต้องเอาสิ่งนี้เพื่อพยายามประพฤติปฏิบัติ ให้หัวใจเห็นความเป็นจริงว่า สิ่งนี้เป็นไตรลักษณ์ทั้งหมด เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป แล้วให้มันปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางตั้งแต่มีอยู่ เห็นไหม ถ้าปล่อยวางตั้งแต่ปัจจุบันนี้มันก็ไปปล่อยวาง ใครปล่อยวาง? หัวใจนั้นปล่อยวาง ปล่อยวางธาตุขันธ์เข้ามา มันก็เป็นที่หัวใจ

ถ้าหัวใจนั้นมันชำระกิเลส ชำระกิเลสที่หัวใจนั้น ตัวธาตุรู้คือตัวหัวใจ ตัวที่ถูกต้อง ตัวอย่างหยาบ ๆ นี้มันผ่านความรู้สึกผ่านขันธ์ ขันธ์ความรู้สึกต่าง ๆ นี้ออกไปยึดข้างนอก มันย้อนกลับเข้ามา มันปล่อยธาตุปล่อยขันธ์ แล้วมันไปถึงหัวใจ ปล่อยทั้งถึงหัวใจนะ หัวใจดวงนั้นปล่อยออกไป นั่นน่ะปล่อยความว้าเหว่ ปล่อยความเฉาเหงาหงอยในหัวใจ มันไม่มีกิเลสในหัวใจ

แล้วมันผ่านออกมามันจะไปยึดตรงไหน? มันจะไม่ยึดตรงไหนเลยเพราะมันสะอาดออกมาจากภายใน ขันธ์นี้เป็นขันธ์เฉย ๆ เป็นสิ่งที่ว่าเครื่องอาศัย หนังสือนี่เป็นหนังสือธรรมดา ใครอ่านจะได้ประโยชน์ไม่ได้ประโยชน์อยู่ที่ความยึดของใจนั้น ถ้าใจนั้นอ่านเป็นประโยชน์จะเป็นประโยชน์ ถ้าใจนั้นยังไม่เป็นประโยชน์อ่านแล้วไม่เข้าใจ ก็ต้องอ่านซ้ำอ่านซาก พยายามให้มันเข้าใจ ให้เห็นตามหลักความเป็นจริง

พอเข้าใจสิ่งนั้นแล้วนี่มันจะเป็นประโยชน์เข้ามา แม้แต่ผู้ที่เป็นประโยชน์แล้วอ่านไปครั้งหนึ่งมันอ่านไปแล้วนี่ มันมีความเห็นปัญญาวุฒิภาวะของใจมันสูงระดับไหนมันก็ได้ประโยชน์ขนาดนั้น แล้วผ่านเข้าไปนี่อ่านซ้ำเข้าไปมันจะมีประโยชน์ขึ้นไป เป็นชั้น ๆ เข้าไป เห็นไหม พระไตรปิฎก ผู้ที่อ่านผู้ที่ศึกษามาเป็นปริยัติ มันก็ได้ศึกษามาเป็นปริยัติ เป็นการตีความ เป็นความเข้าใจ อยู่ในหน้านั้น อยู่ในเหตุนั้น อยู่ในตรงนั้น ความเข้าใจ เข้าใจความเงาของธรรมไง

กิริยาของธรรม ใจนี้บอกว่าการกระทำคือขันธ์ที่มันปล่อยวางเข้ามา เราเข้าใจสิ่งนั้น เราก็เข้าใจแค่นั้น เข้าใจเรื่องเงาของธรรม แต่ไม่เห็นความเป็นจริงของหัวใจนั้น ถ้าเห็นตามความจริงหัวใจนั้น เพราะว่าพระไตรปิฎกทั้งหมดชี้เข้ามาที่ใจ ชี้เข้ามาที่ใจของผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนนะ ให้มันปลดเปลื้องกันที่ใจ

ในหลักของศาสนา ใจนี้เป็นภาชนะใส่ธรรม อย่างอื่นอย่างหนังสือนี้ก็เป็นแค่กิริยา เป็นแค่ตัวหนังสือ เป็นแค่หมึกเปื้อนกระดาษ แต่ตัวหนังสือเองจะไม่มีความรู้สึกดีหรือชั่วในหนังสือนั้น หนังสือนั้นเป็นกลาง ๆ ของเขาเป็นของเขาอย่างนั้น คุณค่าของใจที่ไปอ่านแล้วไปศึกษาเข้ามา ย้อนกลับมานี่คุณค่าเกิดจากตรงนั้น

พอคุณค่าเกิดจากตรงนั้น มันละเอียดเข้าไปมันซับซ้อนเข้าไป เด็กอ่านก็เป็นส่วนหนึ่ง ผู้ใหญ่อ่านก็เป็นส่วนหนึ่ง คนที่มีปัญญาอ่านก็เป็นส่วนหนึ่ง คนที่เข้าใจตามหลักความจริงอ่านแล้วนี่จะรู้ตามความเป็นจริงว่าช่วงนี้เป็นช่วงนี้ เห็นไหม ถนนเลี้ยวขวา ขณะเลี้ยวขวาไปตรงนั้นต้องเลี้ยวขวาไป ไปข้างหน้าตรงไปขนาดไหนจะต้องไปเจอทางแยก จะต้องไปเจออะไร

นี้ก็เหมือนกัน จิตที่ภาวนาเข้าไป สงบเข้าไปแล้วต้องไปเจอธาตุขันธ์ ไปเจอสติปัฏฐาน ๔ ปล่อยวางธาตุขันธ์ชั้น ๑ ชั้น ๒ ชั้น ๓ เข้าไป จะเห็นทางแยกทางเบี่ยงออกไปในหัวใจนั้น แล้วถ้าหนังสือหรือแผนที่นั้น ถ้าชี้ตามความเห็นอย่างนั้น มันก็ถูกต้อง ใจผู้ที่ผ่านแล้วจะเข้าใจสิ่งนี้ พอเห็นแผนที่เข้าไปมันจะเข้ากันได้

ถ้าใจที่ผ่านแล้วนี่ ที่ว่าผู้ที่สั่งสอนนี่จะเข้าถึงระดับไหน เข้าได้สูงมันจะพาไปทางสูง ถ้าเข้าได้ต่ำแผนที่นั้นชี้ว่าเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาแต่เราไม่เคยเลี้ยวเลย เราไม่เคยเห็นทางของใจเลย เราจะเอาอะไรไปเลี้ยว เราก็อ่านแล้วก็เป็นขณะ เป็นความเห็นของเรา เหมือนความเห็นเด็ก ๆ ที่ว่า “จิตที่เข้มแข็งอยู่ในร่างกายที่เข้มแข็ง” จิตที่เข้มแข็ง จิตที่อ่อนแอ จิตที่ไม่เข้าใจ อยู่ในร่างกายขนาดไหนมันก็ไม่เข้าใจ

สิ่งที่ไม่เข้าใจคือไม่เข้าใจ ถ้าเข้าใจขึ้นมาแล้วมันจะเข้าใจแล้วมันจะความเห็นเข้ามา ว่าอ๋อจากภายใน แล้วจะปล่อยจากหัวใจ หัวใจปล่อยหมด อาจารย์มหาบัวบอกว่า “ความคิดนี้เป็นถังขยะ” พวกเราติดแต่ขันธ์ ๕ ติดอยู่ในธาตุขันธ์นี้เป็นถังขยะ ถ้าปล่อยถังขยะเข้าไปจิตมันจะปล่อยวาง แล้วจะเข้าใจตามความเป็นจริง เกิดจากการประพฤติปฏิบัติ เกิดจากแผนที่ เกิดจากความเห็น นั่นน่ะสัญชาตญาณจากภาวนามยปัญญา มันไม่ใช่สัญชาตญาณของสัตว์

สัญชาตญาณของสัตว์นั้นเป็นสัญชาตญาณโดยกิเลสพาทำ สัญชาตญาณของธรรมนั้นมันย้อนกลับเข้ามาแล้วชำระเข้าไป นั้นเป็นภาวนามยปัญญาจากภายใน แล้วจะแก้กิเลสของแต่ละบุคคล แล้วจะความสุขเกิดขึ้นมาจากเรา เราจะมีความสุขเกิดขึ้นมาจากหัวใจของเรา

ความสุขหาได้ในร่างกายนี้ ความสุขไม่ได้หาได้จากข้างนอกหรอก ข้างนอกเป็นเครื่องอยู่อาศัย เป็นอาศัยกันไปเท่านั้น ตื่นโลกตื่นไปไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าตื่นธรรม ธรรมย้อนกลับเข้ามาในหัวใจ แล้วมันจบสิ้นกระบวนการในการประพฤติปฏิบัติ แล้วจบแล้วมีความสุขในหัวใจตามใจดวงนั้น เอวัง